{รีวิวทริป} เที่ยวเชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน ไปกี่ครั้งก็แฮปปี้ !
สิ้นปีจะมีหน้าหนาวสักครั้ง และ “เชียงใหม่” ก็คือปลายทางในฤดูหนาวสำหรับใครหลายคน รีวิวนี้เราจะพาไปเที่ยวเชียงใหม่ เน้น 3 จุดเที่ยวสำคัญ เริ่มจาก 1. ม่อนแจ่ม และ 2.แม่กำปอง หมู่บ้านเล็กๆท่ามกลางหุบเขา และ 3.มาจบด้วยการเที่ยวบริเวณตัวเมืองครับ โดยทริปนี้เราจะเน้นความอ้อยอิ่งๆสักนิดๆ ใครที่ยังไม่มีแพลนว่าจะไปไหนสิ้นปี ตามมาเที่ยวเชียงใหม่กัน
การเดินทาง เราเลือกสายการบินนกแอร์ ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัด โดยได้ราคาทั้งไปและกลับตกอยู่ที่คนละ 1,435 บาทครับ ซึ่งก็จองล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนผ่านทางเว็บไซต์ของสายการบินโดยตรงครับ และเราเลือกเป็นไฟลท์เช้า เครื่องออก 6:50 และแลนด์ดิ้งถึงเชียงใหม่ ประมาณ 8 โมง ซึ่งเหมาะกับคนที่ตื่นเช้าพอสมควรเลย
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 20 ก็ถึงสนามบินเชียงใหม่ครับ โดยหลังจากที่แลนด์แล้วเราก็เดินตรงมายังบริเวณที่จอดรถ เพื่อมาเอารถที่เราได้จองไว้ เป็นรถซิตี้ตัวใหม่เครื่องยนต์ขนาด 1.5 เทอร์โบ เอาไว้ใช้สำหรับขับขึ้นดอยได้สบาย ค่าเช่าน้องคันนี้อยู่ที่วันละ 900 บาทครับ ซึ่งเราก็หาเอาตามกลุ่มในเฟสบุ๊คเลย
วันที่ 1
- ร้านเลิศรสไข่กระทะ
- Coffee สวนสน
- พระตำหนักภูพิง
- ซอมบี้ คาเฟ่
- ภูดอย โฮมสเตย์
“ไข่กระทะเลิศรส” เป็นร้านอาหารเช้าและร้านกาแฟเล็กๆน่ารัก ตั้งอยู่บริเวณถนนเส้นสุเทพ อยู่เยื้องกับคณะทันแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ
แม้โต๊ะที่นั่งจะมีไม่มาก แต่ก็จัดว่ามีให้สั่งได้หลากหลาย มีเซทเมนูมื้อเช้าด้วย
ขนมปังโบราณ ทานคู่กับชานมร้อน คือฟินและดีต่อใจมากครับ ขนมปังมีความกรอบนิดๆ และต้องสารภาพเลยว่าผมไม่เคยได้กินขนมปังโบราณในบรรยากาศร้านยามเช้าแบบนี้ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก ก็เลยค่อนข้างติดใจครับ และภายในเซทยังมีไข่กระทะทำมาให้แบบร้อนๆด้วยนะ
ใครที่หิวๆมา แวะมาทานอาหารเช้าที่ร้านนี้ได้ครับ บริเวณหน้าร้านหาที่จอดไม่ยากด้วย
เมื่อทานมื้อเช้าจนอิ่มท้อง เราแวะเที่ยวที่ดอยสุเทพ โดยมาแวะที่แรกคือจุดที่เป็นที่พักแรมของนักท่องเที่ยวครับ คือบ้านพักนักท่องเที่ยวสวนสน อุทยานดอยสุเทพ-ปุย
มีร้านกาแฟน่ารักๆให้บริการและมีวิวด้านล่างที่สวยงามมากครับ เรียกว่าราคาหลักสิบ วิวหลักล้านก็ว่าได้
ใครที่มาเที่ยวดอยสุเทพ ก็ต้องแวะมาเที่ยวที่พระตำหนักภูพิงคครับ โดยมีค่าเข้าชมคนละเพียง 20 บาทเท่านั้นเอง ภายในสวนรอบๆพระตำหนักมีดอกไม้สวยๆให้ชมอยู่เยอะมากๆครับ ทั้งดอกกุหลาบ ดอกพิทูเนีย และดอกไม้หน้าหนาวหาชมยากก็มี
มาช่วงที่ยังหนาวอยู่และเป็นช่วงหลังวันหยุดยาว ดอกไม้สวยๆยังบานอยู่ทุกมุมสวนและบรรยากาศดีมากครับ
ดอกกุหลาบเบ่งบานสีสันสด บรรยากาศพาให้ถ่ายรูปได้เกือบทุกมุมเลย
บริเวณโซนเรือนกระจกครับ บริเวณนี้จะเป็นพวกไม้เฟิร์น ที่พันธุ์ที่ชอบอยู่แบบชื้นๆ ภายในอากาศเย็นมาก
เป็นอีกหนึ่งที่ที่ไม่ว่าจะมากี่ครั้งก็ได้ความสุขกลับไปทุกครั้ง ค่าเข้าชมคุ้มมากถ้าเทียบกับบรรยากาศสวยๆและพื้นที่กว้างๆที่เต็มไปด้วยดอกไม้สวยๆแบบนี้
มาถึงดอยสุเทพแล้วเห็นจะไม่แวะมาสักการะก็คงไม่ได้ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นวัดโบราณที่ทรงคุณค่าอยู่คู่เมืองเชียงใหม่
โดยวันที่มาเนื่องจากเป็นวันธรรมดาและเป็นช่วงหลังจากวันหยุดยาวพอดี คนก็เลยไม่มาก จึงทำให้การหาที่จอดรถไม่ลำบากมากครับ ส่วนบรรยากาศภายในวัดก็ไม่ได้อึดอัดจนเกินไป
ส่วนใครที่ไม่พร้อมจะเดินขึ้นและอยากประหยัดแรงทางวัดเค้าก็มีลิฟท์ไว้อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวด้วย แต่มีค่าใช้จ่ายนะครับ
เสร็จจากดอยสุเทพ มุ่งตรงมายังม่อนแจ่มต่อ แต่เนื่องจากเช็คอินบ่าย 2 ก็เลยแวะคาเฟ่น่ารักๆสักที่แถวๆแม่ริม
“ซอมบี้ คาเฟ่” ที่แม่ริมเป็นคาเฟ่บรรยากาศธรรมชาติ ฟีลดีมากก มีที่นั่งทั้งโซนอินดอร์และโซน์ใกล้กับธารน้ำเล็กๆด้วย ร้านสะอาดสะอ้าน การบริการดีมากครับ รสชาติเครื่องดื่มก็ดี
ที่ร้านตั้งอยู่ติดกับธารน้ำซึ่งถือเป็นไฮไลท์หลักของร้านเลย ใครอยากจะนั่งแช่ขาสบายๆรับอากาศเย็นๆก็ได้
เครื่องดื่มและเมนูเค้กต่างๆราคาไม่แรงมากครับ อย่างโกโก้ปั่นแก้วนี้ราคาเพียง 79 บาทเท่านั้น
Mascot ของทางร้านเป็นตัวซอมบี้ ดูๆไปมันก็ออกแนวน่ารักซะมากกว่า
จากคาเฟ่ ขับมาเรื่อยๆเราก็ขึ้นมาถึงดอย ซึ่งที่พักคืนแรกเราเลือกพักที่ “ภูดอย โฮมสเตย์”
ภูดอยโฮมสเตย์ เป็นที่พักบรรยากาศดีมีห้องพักที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นนิดๆอย่าง”บ้านกล่อง” ซึ่งถือเป็นห้องพักไฮไลท์ อยู่บนจุดที่สูงที่สุดของทางรีสอร์ทและมีไม่กี่ห้องครับ ข้อดีของที่พักอย่างแรกที่สังเกตเลยคือขับขึ้นมาง่ายครับ รถเล็กสามารถขึ้นได้และทางก็ไม่ได้ชันมาก อย่างเราจองแบบบ้านกล่องไว้ซึ่งหลังจากเช็คอินแล้ว ก็สามารถขับมาจอดที่ใกล้กับห้องพักได้เลย
ค่าที่พัก 2 คนอยู่ที่คืนละ 2,590 บาท รวมอาหารเช้า ภายในห้องพักขนาดกำลังพอดี จัดว่าใหญ่เพียงพอสำหรับ 2 คน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งแอร์ ทีวี กาน้ำร้อน เครื่องทำน้ำอุ่น และด้านหน้าก็มีระเบียงสำหรับนั่งดูวิว ปิ้งหมูกระทะได้
มื้อเย็นเราฝากท้องกับที่พักเป็นชุดหมูกระทะอย่างในภาพครับ บริการรวมเตารวมถ่านรวมอุปกรณ์ตกชุดละ450 บาทปริมาณก็ถือว่าเยอะพอสมควรเหมาะสำหรับการทาน 2 คน และหากไม่อิ่มต้องการเติมชุดหมูเพิ่ม ก็มีจำหน่ายในราคาชุดละ 200 กับ 300 บาทครับ
หลังจากปิ้งหมูกระทะจนอิ่มท้อง และได้พักผ่อนนอนหลับไปกับอากาศหนาวๆบนดอย ใครที่อยากชมรีวิวที่พักฉบับเต็มขออนุญาตเขียนเพิ่มเป็นเนื้อหาแยกนะครับ เนื่องจากภาพค่อนข้างเยอะพอสมควร
แพลนวันที่ 2
- Mori Cafe คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น
- ร้านโป่งแยงแอ่งดอย
- Canopy walk เป็นเส้นทางเดินเหนือเรือนยอดไม้
- หลงเขาคาเฟ่ แม่กำปอง
- พักที่แม่กำปอง ฮิลล์
บรรยากาศยามเช้าของที่พัก วิวจากหน้าห้องพักของเราจะประมาณนี้เลย อากาศช่วงยาวประมาณ 7 องศา
ถึงเวลาของอาหารเช้า ซึ่งทางที่พักเค้าจะขอเวลารับอาหารเช้าของเราตั้งแต่ตอนเช็คอิน เสร็จแล้วเค้าจะนำมาเสิร์ฟให้ตามเวลาที่เราได้แจ้งไว้ครับ
เช้คเอ้าท์เสร็จจากที่พักคืนแรก เราออกค่อนข้างเร็วประมาณ 9 โมงเพื่อไปเที่ยวคาเฟ่กันต่อ
ระหว่างลงจากดอยก็ต้องหาคาเฟ่แวะระหว่างทางสักที่ และที่กำลังดังอยู่ตอนนี้คือ “Mori Cafe” เป็นคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งเจ้าของทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นมานานและย้ายกลับมาเมืองไทย จึงได้สร้างคาเฟ่ซึ่งมีกลิ่นอายของประเทศญี่ปุ่นครับ
ที่นี่หาที่จอดค่อนข้างลำบากนิดนึงเนื่องจากเค้าแบ่งโซนสำหรับผู้ที่มาพักกับลูกค้าคาเฟ่ไว้แยกกัน แต่โซนที่จอดสำหรับคาเฟ่เดินมาถึงตัวร้านก็จัดว่าไม่ไกล
คาเฟ่บรรยากาศดีมาก วิวของร้านมองออกไปเป็นที่ลาดเชิงเขาสวยๆ และบริเวณนี้อากาศก็ดีมากและหากมาเช้าๆคือคนไม่จอแจดีครับ แนะนำเลย
เครื่องดื่มของทางร้านละมุน กาแฟลาเต้ร้อนเข้มมากดื่มแล้วพอหายง่วง ส่วนมัจฉะลาเต้ก็เข้มข้นดีมาก ไม่หวานจนเกินไป ใส่นมสดมาให้เยอะดี สนนราคาเครื่องดื่มเฉลี่ยต่อแก้วอยู่ที่แก้วละ 80 – 100 บาทครับ
3 อย่างรวมเค้กหมดไป 290 บาทครับ คุ้มมากๆ และสำหรับใครที่คาดหวังว่ามาคาเฟ่นี้จะได้เล่นกับน้องหมา ที่นี่ไม่ใช่คาเฟ่หมาโดยตรงนะครับ น้องหมาของทางร้านที่เราเห็นมีคนแชร์ออกไปคือทางเจ้าของเค้าเลี้ยงไว้ส่วนตัวและไม่ได้มีไว้สำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวน้า ฉะนั้นใครมาเที่ยวอยากให้เน้นเอ็นจอยบรรยากาศก็พอ ถ้าน้องหมาลงมาและได้เจอกับน้อง ก็ถือว่าโชคดีเพิ่มไปครับ
แวะทานข้าวมือกลางวันที่ร้านโป่งแยงแอ่งดอย เป็นร้านอาหารมาตรฐานดี บริการเลิศ ตั้งอยู่ระหว่างทางลงจากม่อนแจ่ม ร้านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องอาหารพื้นเมืองและเมนูไฮไลท์สำหรับนักท่องเที่ยวก็มีให้เลือกทานเยอะ
ร้านมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ที่สำคัญคือวิวดีมากยิ่งโซนชานระเบียงคือมองเห็นต้นไม้เขียวๆสบายตามากครับ ร้านเป็นแบบเน้น open air จึงเหมาะกับการเที่ยวในยุคโควิดแบบนี้มาก
อาหารแต่ละเมนูคืออร่อยสมคำร่ำลือ จานแรกเป็นออเดิร์ฟเมืองเป็นเมนูน้ำพริกทานคู่กับเครื่องเคียงและผักต่างๆ
แกงฮังเลถ้วยนี้น้ำแกงทำได้เข้มข้นดีมากครับ เนื้อหมูให้แบบชิ้นใหญ่และก็นุ่มมาก
สั่งมาประมาณ 3 อย่างครับสำหรับมื้อนี้ จ่ายไป 724 บาท ขมชมเรื่องรสชาติจริงๆ อยากให้ใครที่มาเที่ยวแม่ริมได้แวะมาที่ร้าน “โป่งแยงแอ่งดอย” แล้วจะไม่ผิดหวัง
เมื่ออิ่มท้องแล้ว ใกล้กับร้านเป็นที่ตั้งของสวนพฤกษ์ศาสตร์ ก็ขอแวะมาเช็คอินทางเดินลอยฟ้าชมสวยๆภายในโครงการของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ สักหน่อย
โดยการเข้ามาชมมีค่าเข้าชมคิดเป็นรถยนต์คันละ 100 บาท และมีค่าเข้าชมอีกคนละ 20 บาทครับ
ภายในสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จฯ มีอยู่หลายโซนให้สามารถขับเข้าไปชมได้ แต่เราเลือกมาเพียงส่วนเดียวคือโซนทางเดินกระจก หรือ canopy walk ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ยอดนิยมที่คนชอบมาเช็คอินถ่ายรูปครับ
canopy walk เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยมีระยะทางเดินชมความงามของป่าเขียวๆกว่า 500 เมตรเลยทีเดียวครับ
คืนนี้เราพักกันที่หมู่บ้านแม่กำปองครับ ใช้เวลาขับรถจากแม่ริมมาถึงแม่กำปอง ระยะทางประมาณ 68 กิโลเมตรและใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที เพราะใช้เวลาที่แม่ริมค่อนข้างมากครับ เสร็จแล้วเราก็ขับยาวๆมาที่แม่กำปองโดยไม่ได้แวะพักครับ
มาถึงแม่กำปองแล้ว ก็ขอแวะเช็คอินร้านกาแฟก่อนสักหนึ่งที่ เป็นร้านกาแฟเล็กๆแบบทำกันเองชื่อว่า “หลงเขา”
คืนนี้เรามาพักที่ “แม่กำปองฮิลล์” เป็นรีสอร์ทเล็กๆที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านแม่กำปองนะครับ ห่างจากจุดที่คนพลุกพล่านประมาณ 2-3 กิโลเมตร ที่เลือกที่นี่เพราะดูร่มรื่น และที่สำคัญคือราคาไม่แพงครับ
ห้องพักอยู่ชั้น 2 ต้องเดินขึ้นบันไดเหล็กของรีสอร์ทไป เปิดประตูมาคือค่อนข้างประทับใจ เพราะห้องพักกว้างขวางกว่าที่คิด เตียงนอนนุ่มมากครับ เพดานของห้องคือสูงมาก ให้ความรู้สึกสบายและไม่อึดอัด เราได้ห้องพักวิวสวยๆ แบบเปิดมาเป็นวิวต้นไม้ใหญ่เห็นภูเขาสวยๆ คืนละ เพียง 2,000 บาทเท่านั้นเอง
บรรยากาศโดยรอบของที่พักจัดได้น่ารักมากๆ มีสวนสวยๆไว้เดินถ่ายรูปได้สบายๆ เสียเพียงแค่จอดรถค่อนข้างยาก เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างจำกัดครับ
อาหารเย็นเราฝากท้องกับทางที่พัก สั่งเป็นเซทหมูกระทะ ราคาชุดละประมาณ 500 บาทครับ รวมเตาและมีหมู มีผัก น้ำจิ้มแบบพร้อมทานเลย
แพลนวันที่ 3
- ระเบียงวิวคาเฟ่
- ข้าวโซอิ ตัวเมืองเชียงใหม่
- Magokoro Tea House
- Mars CNX
อาหารมื้อเช้าที่แม่กำปองฮิลล์ เค้าจะจัดมาเป็นเซทข้าวต้ม ซึ่งมีกาแฟดริบและขนมปังปิ้งมาด้วยครับ อาหารเช้าอร่อยมาก รสชาติดีครับ
เช็คเอ้าท์ประมาณ 9 โมงกว่าๆ แวะเที่ยวตัวหมู่บ้านแม่กำปองและไม่แวะไม่ได้ คาเฟ่น่ารักๆ “ระเบียงวิว” เป็นคาเฟ่บ้านไม้ตั้งอยู่ในจุดสูงของหมู่บ้าน เมื่อมองลงไปจะเห็นวิวสวยๆของทั้งหมู่บ้านเลย
เนื่องจากไฟลท์ที่เราจองขากลับเป็นไฟลท์กลางคืน วันนี้ก็เลยจัดเป็นวันว่างแบบหลวมๆ ที่แพลนไว้ว่าจะเก็บที่เที่ยวบริเวณตัวเมืองเชียงใหม่ มื้อกลางวันที่ร้านที่กำลังเป็นกระแส ข้าวซอย “โซอิ” ร้านเล็กๆที่ทำบรรยากาศแบบญี่ปุ่น
ตอนนี้เค้ามาเปิดที่กรุงเทพฯแล้วด้วยนะครับ แต่อันนี้ที่เรามาเป็นสาขาแรกเลย ตัวร้านเป็นลักษณะเป็นห้องชั้นเดียวนำมาตกแต่งเก๋ๆในสไตล์บ้านญี่ปุ่นโบราณ ด้านคุณภาพอาหารจัดว่าดีมากๆๆเลย อร่อยทุกอย่างครับตั้งแต่เกี๊ยวซ่า หมูพริกเกลือ ไปจนถึงเมนูข้าวซอย
ก่อนจะเข้าทานได้จะต้องมีการลงคิวจองนะครับ โดยระหว่างลงคิวก็สามารถขอดูเมนูอาหารและสั่งไว้ก่อนได้เลยครับ
อาหารที่สั่งจานแรกเป็นข้าวซอยผัดแห้งใบพาย เป็นข้าวซอยเส้นค่อนข้างนุ่ม เด่นที่เนื้อวัว มีความนุ่ม หอม และละลายในปาก ราคาจานละ 298 บาท อาหารทานเล่นเป็นสันคอหมูคั่วพริกเกลือ เป็นสันคอหมูนุ่มมากๆๆครับ รสชาติกำลังดีและไม่เผ็ดจนเกินไป เมนูนี้จานละ 105 บาท
ทานจนอิ่มท้องแล้ว แวะคาเฟ่อีกสักหนึ่งที่ “Magokoro Teahouse” เป็นคาเฟ่ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับมัทฉะต่างๆ
ไฮไลท์ของร้านนอกจากจะมีเมนูชาต่างๆให้เลือกเยอะมากแล้ว มุมถ่ายรูปที่เป็นโซนสวนญี่ปุ่นก็ปังไม่แพ้กันครับ
หมดไป 276 บาทครับ สั่งไป 2 อย่าง ส่วนชาเขียวที่ผมสั่งมาคือดีมากๆ เข้มมาก
คาเฟ่เปิดใหม่เยอะมาก อีกที่ที่เป็นกระแสตอนนี้คือคาเฟ่บรรยากาศแบบดาวอังคารชื่อ Mars CNX
ตั้งอยู่บริเวณอารักษ์ สามารถขับมาจอดได้บริเวณถนนสิงหราช ซอย 2 ซึ่งต้องขอชื่นชมคอนเซปต์และการตกแต่งของร้านเลยครับ ครีเอทและดีต่อใจมากๆเหมือนหลุดไปอยู่อีกดาวนึงจริงๆ ภายในร้านเปิดแอร์เย็นฉ่ำใจมากและยังมีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลายด้วย
สำหรับโปรแกรมเที่ยวเชียงใหม่ แบบ 3 วัน 2 คืน ใครที่เน้นเที่ยวแบบเรื่อยๆ ไม่เน้นลุยก็สามารถตามโปรแกรมนี้กันได้นะ แนะนำสำหรับคนที่ไม่อยากไปเจอกับคนเยอะๆ แนะนำให้มาช่วงหลังปีใหม่ประมาณวันที่ 4 มกราคม เป็นต้นไป อากาศยังเย็นอยู่และที่พักก็ถูกลงด้วย :))
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
10 ที่พักสวยนิมมาน งบไม่เกิน 2000